การเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ ธุรกิจขนาดกลาง ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ และรวมไปถึงความเป็นผู้นำของภาครัฐ จำเป็นต้องมีความมั่นใจ
ผู้นำที่ไร้ความสามารถ ไม่เพียงนำความเสียหายให้เกิดขึ้นกับตัวผู้นำเท่านั้น.. แต่สร้างความหายนะมาสู่ผู้ตามจำนวนมากด้วย!
Part1. ความเชื่อมั่นในตนเอง กับ ความมั่นใจแบบ.. ไร้สติปัญญา
การเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ ธุรกิจขนาดกลาง ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ และรวมไปถึงความเป็นผู้นำของภาครัฐ จำเป็นต้องมีความมั่นใจในตัวเอง เพราะถ้าปราศจากความเชื่อมั่นในตนเองก็ยากที่จะไปนำใครได้
ความมั่นใจในตัวเอง ต้องอยู่ในระดับที่ไม่น้อยเกินไป เพราะถ้าน้อยเกินไปก็ยากที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ตามได้ แต่ถ้ามากเกินไปจนไม่รู้ขีดจำกัด จุดอ่อนและความสามารถของตัวเอง จะกลายเป็น 'ความมั่นใจ แต่ไร้สติและปัญญา!'
Part 2.ลักษณะของผู้นำแบบ มั่นใจแต่ไร้สติและปัญญา
ผู้นำประเภทมั่นใจ ไม่ฟังใคร และมีสติปัญญา ความสามารถเพียงน้อยนิด แต่ดันมีความมั่นใจล้นทะลัก ถ้าองค์กรใดหรือประเทศใดมีผู้นำแบบนี้ หายนะจะเกิดขึ้นกับองค์กรหรือประเทศนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
ลักษณะของผู้นำประเภท มั่นใจแต่ไร้สติและปัญญา มักจะคิดและมีพฤติกรรมแบบนี้...
คิดอยู่เสมอว่าตนเองเก่ง.... รู้ไปหมด ทั้งที่จริงๆแล้ว แทบทั้งชีวิตเป็นกบในกะลา ทั้งชีวิตมีอาชีพเดียว หรือมีอาชีพที่รับคำสั่งกับออกคำสั่ง ก็เลยเคยชินกับการสั่ง แต่บริหารไม่เป็น คิดว่าสั่งแล้วก็จบๆ เดินวางก้ามกางแขน เพราะรอบตัวรายล้อมด้วยสมุนที่คอยพินอบพิเทาเอาอกเอาใจจนเคยตัว ไม่มีลักษณะนอบน้อมถ่อมตัว ชอบวางท่าอยู่เหนือคนอื่น ทุกคนต้องฟัง ทุกคนต้องกลัว หงุดหงิดง่าย เสียงดัง ชอบตะคอกจนเป็นนิสัยถาวร! (คล้ายๆพวกมีปมด้อยเลยต้องแสดงออกแบบก้าวร้าว) ซึ่งจะแตกต่างจากผู้นำที่เก่งจริงๆ มักจะนอบน้อม ถ่อมตัวไม่คุยโวโอ้อวด
Part 3.รอบตัวของผู้นำ..
ในเมื่อผู้นำมีวิธีคิดและพฤติกรรมแบบนี้ รอบข้างกายของผู้นำจะไม่มีคนที่เก่ง มีแต่พวกที่เอาอกเอาใจเก่ง เพราะผู้นำประเภทนี้คิดว่าตัวเองเก่งกว่าทุกคน จึงไม่ชอบฟังใคร ใครค้านใครเห็นต่างก็ไม่ได้ ผู้นำประเภทนี้จึงเหมือนอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ ที่เจอแต่เรื่องดีๆ ข่าวดีๆได้รับแต่เฟคนิวส์ดีๆของจริง จากพวกประจบสอพลอที่อยู่รอบตัว
ก็ใครจะกล้าบอกข่าวร้าย หรือข้อเท็จจริงให้โดนตะคอกโดนด่ากลับล่ะครับ!
คนที่เก่ง คนที่กล้าพูดความจริง คนที่กล้าเห็นต่าง มักจะอยู่ได้ไม่นาน ก็ถูกดีดออกไปจากวงโคจรของผู้นำประเภทนี้ เพราะชอบขัดใจ ชอบพูดความจริงที่ฟังแล้วแสลงหู ชวนหงุดหงิด!
Part 4.ผู้นำกับการตัดสินใจ...
งานของผู้นำต้องเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ จะตัดสินใจเรื่องอะไร ต้องคิดและมองให้ครบ ไม่เร็วไม่ช้าเกินไป ถ้ามีข้อมูลข้อเท็จจริงประกอบก่อนการตัดสินใจก็จะดี แต่ไม่จำเป็นต้องรอข้อมูลจนครบถ้วนสมบูรณ์เพราะอาจไม่ทันกับสถานการณ์ โดยเฉพาะในสภาวะวิกฤติ
ทุกการคิด ทุกการตัดสินใจ ของผู้นำประเภทนี้ ถ้าไม่ใจร้อนเกินไป เพราะด่วนตัดสินใจ จนทำให้ต้องกลับลำยกเลิกการตัดสินใจเพราะโดนด่า ก็มักจะตัดสินใจช้าเกินไป จนปัญหาบานปลายยากแก่การแก้ไข แต่ไม่ว่าจะตัดสินใจอะไรลงไป ผู้นำประเภทนี้ จะไม่เคยยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของตนเอง แต่ถ้าการตัดสินใจนั้นส่งผลดี ก็จะรีบแอ่นอก ออกสื่อ หิวแสง รับเครดิตคนเดียว น่าทึ่งมั๊ยล่ะ!
Part 5.สั่งแต่ไม่บริหาร...
ผู้นำที่มั่นใจแต่ไร้ซึ่งสติปัญญา มักจะเคยชินกับการ ถูกสั่งในอดีต และเคยชินกับการ สั่งเมื่อขึ้นมาเป็นผู้บังคับบัญชา แต่บริหารจัดการไม่เป็น ทุกอย่างดำเนินตามขั้นตอนของ 'กฎระเบียบ' และ 'คำสั่ง'
ผู้นำที่ชินกับการสั่ง จะมีจุดอ่อนในเรื่อง 'การสื่อสาร' ลองสังเกตุผู้นำประเภทนี้ เวลาพูดอะไรยาวๆ มักจะผสมการ สั่ง การบ่น การประชด แต่ไม่มีการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ที่สามาถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ฟังเลย! ( เหมือนพูดไป บ่นไป ประชดไป แล้วเดินงอนๆหงุดหงิดกลับไป คงพอนึกภาพออกนะครับ)
Part 6.ผลที่ตามมา...
ผู้นำประเภทนี้ เวลาบริหารองค์กรที่อยู่ในสภาวะปกติ ก็ใช่ว่าจะส่งผลดีกับองค์กรนั้น ไม่ต้องพูดถึง
การบริหารองค์กรที่อยู่ในสภาวะวิกฤติ ผลเสียหายจะมากมายขนาดไหน!?
แทนที่จะสามารถแปรเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส แต่เนื่องจากขาดซึ่งสติและปัญญา แต่เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจที่เหลือล้น ก็เลยยิ่งลน ยิ่งตัดสินใจผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนส่งผลเสียอย่างรุนแรงกับทุกคนในองค์กร
คนในองค์กรจำนวนไม่น้อยขาดซึ่งศรัทธามาแต่ไหนแต่ไร คนในองค์บางส่วนที่เคยเชื่อมั่นก็เริ่มตาสว่าง คนในองค์กรที่แต่ไหนแต่ไรเฉยๆไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร ก็เริ่มทนไม่ไหว เพราะผลเสียหายส่งผลกับคนทุกประเภททุกหย่อมหญ้าทุกระดับชั้น!
ขนาดในสภาวะปกติก็ยังไม่ได้มีผลงานอะไรที่โดดเด่นเป็นรูปธรรม เมื่อเจอสภาวะวิกฤติ ก็ยิ่งสร้างความหายนะเพราะขาดการคิด การตัดสินใจและการบริหารจัดการที่ดี
บรรดาบอร์ดบริหารที่ร่วมกันสร้างร่วมกันปั้นผู้นำประเภทนี้ให้ขึ้นมานำองค์กรก็เริ่มกระสับกระส่าย เพราะดูๆแล้ว มองไม่เห็นหนทางว่าผู้นำประเภทนี้จะพาองค์กรฝ่าวิกฤติไปได้อย่างไร แต่ที่เห็นอยู่ทุกวันคือความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนส่งผลร้ายแรงกับทุกคนในทุกๆวัน!
Part 7.หรือทำได้แค่ ภาวนา...
คนในองค์กร ได้แต่หวังลมๆแล้งๆว่า วันใดวันหนึ่งในเร็วๆนี้ ผู้นำประเภทนี้ จะคิดได้....
ไม่ว่าจะคิดได้เพราะเดินเพลินจนหัวไปโขกสิ่งกีดขวางแรงๆจนสลบ แล้วฟื้นตื่นขึ้นมาจึงได้สติ! หรือคิดได้เพราะละอายใจว่าสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับผู้คนมานาน... จะวางมือ เพื่อให้ผู้นำที่มีความสามารถเข้ามากู้วิกฤติแทน
หรือภาวนาให้บอร์ดบริหารเห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาต้องปลด ต้องเปลี่ยนผู้นำ แล้วรีบหาคนที่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับ เข้ามากู้วิกฤติให้เร็วที่สุด
หวังว่า... เราๆท่านๆทุกวันนี้ ไม่ได้ทำงานอยู่ในองค์กรนี้ที่มีผู้นำประเภทนี้นำองค์กรนะครับ... แต่ถ้าโชคร้ายกำลังอยู่ในองค์กรที่มีผู้นำแบบนี้ ก็ได้แต่ภาวนาให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นในเร็ววันเท่านั้นเอง....!?