“คน”เป็นเรื่องของ “เข้าใจ และ ใช้เป็น” !?
@ ผู้บริหารทุกคน ต่างก็รู้ว่า ตนเองมีทีมงาน มีลูกน้อง..แต่มีผู้บริหารจำนวนมาก ที่ ไม่รู้จักทีมงานของตัวเอง! และจะเกิดอะไรขึ้น.....ถ้าหัวหน้าหรือผู้จัดการ “ไม่เข้าใจ ” ทีมงานของตัวเอง...? คำตอบก็คือ ในทีมจะเพียบพร้อมไปด้วย คนที่สร้างปัญหามากกว่าคนที่สร้างผลงาน..และปัญหาไม่ได้เกิดเพราะทีมงานเพียงอย่างเดียว แต่เกิดเพราะหัวหน้าหรือผู้จัดการไม่เข้าใจความแตกต่างของทีมงาน !
ถ้าจะแยกแยะเรื่อง “ไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึง”ให้เห็นภาพชัดขึ้น ก็จะเป็นอย่างนี้ครับ....
@ ทีมงานบางคน ชอบและถนัดที่จะทำงานแบบอิสระ ไม่ชอบให้เจ้านายมาจู้จี้ จุกจิก ทีมงานบางคนต้องให้หัวหน้าบอกทั้ง “ความต้องการ”และ “วิธีการ”ถึงจะทำงานได้ ทีมงานบางคนต้องให้กระตุ้นด้วยแรงเสริมทางบวกเป็นระยะถึงจะมีผลงานให้เห็น ทีมงานบางคนต้องกดดัน ต้องเน้นแรงกระตุ้นทางลบถึงจะมีผลงานออกมาได้...
@ ปัญหาอย่างหนึ่งที่หัวหน้าและผู้จัดการ ไปจนถึงผู้บริหารระดับสูงมักจะเป็นก็คือ....การบริหารลูกน้อง(ที่มีความแตกต่างกัน)ด้วยวิธีการเดียวกัน ! ผลก็คือ วิธีการที่ผู้จัดการบริหาร อาจจะได้ผลกับลูกน้องบางคน บางประเภท แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยได้ผลกับลูกน้องอีกหลายๆประเภทที่เหลือ!
@ ธรรมชาติของผู้จัดการ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง ก็คือ จะไม่ชอบปรับตัวให้เข้ากับ ความแตกต่างของลูกน้องหลายๆประเภท โดยมีข้ออ้างและความเชื่อผิดๆว่า...ลูกน้องต้องเป็นฝ่ายปรับตัวและเข้าใจเจ้านาย ! เมื่อเป็นอย่างนี้ ยิ่งบริหาร ยิ่งเหินห่าง ยิ่งไม่เข้าใจกันมากขึ้น !
@ การปรับตัวของผู้จัดการ ไม่ใช่หมายถึงต้องละทิ้งความเป็นตัวตนของตัวเอง เราเป็นคนแบบใดก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ แต่สิ่งที่ต้องปรับก็คือ...ทำความเข้าใจความแตกต่างของลูกน้องแต่ละประเภท แล้วเลือกวิธีการสื่อสาร การบริหารให้เหมาะสมกับลูกน้องประเภทนั้นๆ เช่น กับลูกน้องที่มีศักยภาพสูงและถนัดที่จะทำงานค่อนข้างอิสระ มีสไตล์ของตัวเอง และผลงานก็ออกมาดี ก็ไม่จำเป็นต้องไปวุ่นวายหรือจุกจิก หยุมหยิมกับลูกน้องประเภทนี้ เพียงแค่คอยให้การสนับสนุน หรือช่วยเหลือเมื่อถูกร้องขอ พร้อมกับมอบหมายงานสำคัญๆให้ไปคิดเอง ทำเอง....
ส่วนลูกน้องบางประเภท เราจำเป็นต้อง Coaching อย่างละเอียด ต้องชี้แนะ ต้องฝึกฝน ถึงจะสามารถไปทำผลงานให้ออกมาได้อย่างที่ต้องการ ขณะที่ลูกน้องบางประเภท ก็ต้องสื่อสารแบบเข้มข้น ให้รับรู้ว่าเราคาดหวังทั้งผลงานและความประพฤติ ต้องคอยทั้งให้กำลังใจผสมผสานกับคาดโทษกลายๆ ถ้าผลงานและความประพฤติไม่ได้รับการแก้ไข ก็ต้องรับโทษไปตามระบบ แต่ถ้าผลงานและความประพฤติดี ก็จะได้รับสิ่งดีๆไปเช่นกัน.....
@ ถ้าจะถามว่า มันต้องปรับตัวเรา และเหนื่อยกับการเลือกใช้วิธีการที่แตกต่างกันกับลูกน้องแต่ละคนขนาดนี้เลยหรือ ? ก็ให้ลองถามตัวเองว่า.... ที่ผ่านมาเราใช้วิธีการเดียวแถมยังเป็นวิธีการเดิมๆ กับลูกน้องทุกคนแล้วผลเป็นยังไง? ต้องปวดหัว ต้องตามแก้ปัญหาเรื่องลูกน้อง มันไม่เหนื่อยกว่าหรือครับ ?
@ และถึงแม้เราจะปรับตัวแล้ว ใช้ความแตกต่างในการบริหารคนแต่ละคนแล้ว ก็ยังไม่สามารถการันตีได้ว่า ลูกน้องทุกคนจะสามารถทำผลงานได้ถูกใจหรือบรรลุเป้าหมายตามหน้าที่ทุกคน.....เพราะคน มีขึ้น มีลง ตามสภาวะอารมณ์และผลกระทบในช่วงเวลานั้นๆ หน้าที่ของผู้จัดการและหัวหน้าก็คือ.....ต้องเข้าใจคนแต่ละคน ว่าคนๆนั้น อยู่ในสภาวะใด (จิตตก / ปรกติ / จิตเข้มแข็ง) และต้องใช้วิธีใดให้เหมาะสมกับคนๆนั้น ในสภาวะนั้นๆ ถึงจะเรียกว่า เป็นผู้บริหารชั้นยอดในเรื่องการบริหารคนครับ !
โดย : อ.ธีรพล แซ่ตั้ง