เมื่อตัดสินใจช้า ไม่สามารถควบคุมในแต่ละคลัสเตอร์ทั่วประเทศแล้ว การล็อคดาวน์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังก็ยังพุ่งวันละ 2 หมื่น
1.ล็อคดาวน์ หรือ ล็อคธุรกิจ.. ให้ดาวน์และดับ!?
ในช่วงที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นเรื่อยๆตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ถ้ารัฐบาลไม่ล็อคดาวน์หลายๆ จังหวัดตามคำแนะนำของทีมแพทย์ที่ปรึกษา ตัวเลขผู้ติดเชื้อมีโอกาสเพิ่มมากกว่าปัจจุบัน
แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่... รัฐบาลสองจิตสองใจ ลังเล กังวลเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ กว่าจะตัดสินใจล็อคดาวน์ จำนวนผู้ติดเชื้อก็แพร่กระจายไปทั่วประเทศแล้ว! (ต้องขอชื่นชมว่า... เชี่ยวชาญ ชำนาญ ในเรื่องการตัดสินใจที่... ช้าเกินไปเป็นประจำ!)
เมื่อตัดสินใจช้า ไม่สามารถควบคุมในแต่ละคลัสเตอร์ทั่วประเทศแล้ว การล็อคดาวน์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังก็ยังพุ่งวันละ 2 หมื่น ถึงแม้จะเริ่มลดลงบ้าง แต่ต้องไม่ลืมว่า นี่เป็นจำนวนผู้ติดเชื้อที่พอจะมีกำลังตรวจพบเท่านั้น (ส่วนผู้ติดเชื้อที่ยังตรวจไม่พบอาจจะยังมีอีกมาก)
จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้น สวนทางกับตัวเลขของธุรกิจที่ รายได้ลดลงจนบางธุรกิจเหลือ0 บาท! ถึงแม้รัฐบาล เริ่มคลายล็อคดาวน์ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนนี้ ให้กับหลายธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารที่ทยอยปิดตัวไม่เว้นแต่ละวัน แต่เงื่อนไขที่ลูกค้าจะไปนั่งกินในร้านทั้งเจ้าของร้าน พนักงานและลูกค้าต้องเจอกับเงื่อนไขและภาระค่าใช้จ่ายจนหายอยาก (กิน)!
อาจเห็นบรรยากาศคนเข้าไปกินในร้านในห้างบ้าง เพราะอัดอั้นไม่ได้พบปะ เม้ามอยส์ กับเพื่อนๆ
กับญาติๆมาเป็นเดือนๆ ก็อยากไปพบไปคุยไปเม้ากันบ้าง.. ถ้าไม่ถอดใจกับเงื่อนไข (สุขใดเล่า จะเท่าเม้า ลุงกับรัฐบาลเรื่องการบริหารประเทศในสภาวะวิกฤติ ที่สร้างความหงุดหงิด งุ่นง่านให้กับผู้คนในช่วงนี้!)
คำตอบ.... ล็อคดาวน์ที่ผ่านมา ถ้าได้ผลจริงตัวเลขต้องลดลงเยอะกว่านี้ แต่ตัวเลขที่ส่งผลชัดเจนอันเกิดจากมาตรการล็อคดาวน์ (ที่ตัดสินใจช้า ตามระบบ 'ราชการ') คือ จำนวนธุรกิจที่ปิดตัว และตัวเลขรายได้ที่ลดน้อยลงจนหลายๆ ธุรกิจไม่มีรายได้เลย
ล็อคดาวน์ที่ผ่านมาของรัฐบาล คือการล็อคหลายๆธุรกิจจนหมดลมหายใจ!
2.โลกแบบเดิมจะกลับมาเมื่อไหร่?
ขอให้ลืมโลกแบบเดิม ที่จะไปไหนก็ได้สบายๆชิลๆ โลกแบบเดิม จากไปตั้งแต่ปีที่แล้ว (ขออนุญาตไม่ใช้คำว่า New Normal เพราะเบื่อกับคำนี้) เพราะปัจจุบันคือ 'ใช้ชีวิตแบบมีเงื่อนไข' จะไปกินอะไรในร้านในห้างหรือร้านที่มีห้องแอร์ ถ้าไม่ฉีดวัคซีนสองเข็มก็อาจไม่ได้ไปกิน จะไปเที่ยวในหรือต่างประเทศ ถ้าไม่ได้ฉีดวัคซีนก็อาจไม่ได้ไป จะไปประชุมกับลูกค้าในกรณีรัฐบาลผ่อนคลายและลูกค้าของแต่ละธุรกิจเริ่มพบปะกันได้ ถ้าไม่ได้ฉีดวัคซีน อาจไม่ได้เจอลูกค้า โลกใบใหม่ ทั้งโลกส่วนตัวและโลกของการทำธุรกิจถูกกำหนดด้วย 'วัคซีน'!
ส่วนการทำธุรกิจ การพบปะแบบ 'ตัวเป็นๆ' จะน้อยลง จะเน้นพบปะกันทาง Online. และ On Phone คือติดต่อกันทาง Online และซื้อขายผ่านช่องทาง Tele-Sales มากขึ้น
ธุรกิจใดที่สามารถผสมผสาน Online. กับ On Phone ได้กลมกล่อม พนักงานมีทักษะในการตอบแชทและมีพนักงานอีกทีมเชี่ยวชาญการขายทางโทรศัพท์ ธุรกิจนั้นจะได้เปรียบและรอดได้แบบสบายๆ
3.มีโอกาสที่การระบาดหนักในไทยจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่?
เป็นคำถามที่ตอบแล้วอาจแทงใจดำของทุกคน เพราะถ้าดูจาก 'ชนกลุ่มน้อยบางสายพันธ์' ทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด ที่ชมชอบล้อมวงมั่วสุมเล่นพนันแบบเจอหน้าเจอตา ที่ชมชอบปาร์ตี้สุรานารีกันแบบไม่กลัวโควิด ประกอบกับนิสัยมักง่าย รักสบายของผู้คนบางส่วน...โอกาสเกิดคลัสเตอร์ใหม่ๆในอนาคตเป็นเรื่องธรรมดามาก!
ไหนจะการบริหารแบบแก้ปัญหาตามกระแสรายวันของรัฐบาล ที่ 'คิดไปข้างหน้า คิดแบบป้องกันไม่เป็น' เน้นเช็คกระแสสื่อโซเชี่ยล โดนทั้งประเทศด่าเรื่องไหนหนักทางโซเชี่ยล ก็จะตาลีตาเหลือกแก้เรื่องนั้นให้ผ่านพ้นไปวันๆ ภายใต้การนำของรัฐบาลนี้ อย่าถามว่าจะเกิดการระบาดหนักอีกหรือไม่ แต่ให้ถามว่าเมื่อไหร่!?
4.ผู้บริหารประเทศ ต้องเพิ่ม 'คนที่มีสติปัญญา' หรือต้องเพิ่ม 'ความกล้าหาญของตนเอง'!?
อันที่จริงผู้นำรัฐบาลก็ถือว่าสติปัญญาพอมี เรียนรู้เร็ว แต่ต้องยอมรับความเป็นจริงด้วยว่า ชีวิตที่ผ่านมาติดในกรอบความคิดแบบราชการ ไม่เคยบริหารธุรกิจ รับราชการมาตลอดชีวิตจึงเป็นข้อจำกัดที่ถูก 'ระบบและระบอบราชการ' หล่อหลอมกลืนกินมาตลอดอายุการทำงาน
เมื่อมาเจอสภาวะเศรษฐกิจถดถอย (ก่อนโควิดจะมาเยือน) ลุงก็ตึงมืออยู่แล้ว พอเจอวิกฤติโควิดระบาดรอบปัจจุบันก็เลยเลิ่กลั่ก ลน มึนงง (ขนาด รวบอำนาจจากบรรดารัฐมนตรีมาเป็น ซิงเกิ้ล คอมมานด์แล้วก็ตาม) ลุงก็เลยขาดความสามารถบริหารประเทศในสภาวะวิกฤติโควิดอย่างที่เห็นกันน่ะครับ
ส่วนความกล้า ถือว่ามีใช้ได้ กล้าทำรัฐประหารได้ กล้าบริหารประเทศต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 เข้าไปแล้วได้ แต่ขาดความกล้าในเรื่องการตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องที่เป็นประโยชน์กับประชาชนจริงๆ ต้องกล้า กำจัดหรือลดบทบาทคนที่จะทำให้ประเทศชาติเสียหายทั้งในปัจจุบันและอนาคต ต้องกล้าเลือกคนดีๆมาร่วมงาน อย่าเลือกใช้แต่คนที่มีประโยชน์ในทางการเมือง
ต้องกล้าปฏิรูปในเรื่องที่สำคัญๆที่ส่งผลดีกับประเทศและประชาชนทั้งระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว
โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมที่เป็นเรื่องใกล้ตัวประชนมากตั้งแต่ต้นน้ำคือตำรวจ ไปจนถึงอัยการ
อย่าอ้างว่าการปฏิรูปตำรวจได้เริ่มทำแล้ว เสนอแล้วเข้าสภาแล้ว เพราะตอนนี้เพิ่งบรรจุอยู่ในวาระที่ 1 และมีขั้นตอนหยุมหยิมแบบไทยๆอีกเยอะ คืออยู่ประชุมกันกับกรรมาธิการกว่าจะผ่านวาระ 2 วาระ 3 ไปจนถึง สว. กว่าจะเรียบร้อยไม่รู้ชาติไหน...!?
และกว่าจะถึงวันนั้นไม่รู้จะมีผู้ต้องหา (ทั้งที่ทำความผิดจริง ทั้งที่ไม่ผิดแต่ถูกข่มขู่รีดไถ) ต้องถูกตำรวจใช้ถุงพลาสติคคลุมหัวรัดคอจนขาดใจตายไปอีกกี่คน (ทุกวันนี้คนกลัวตำรวจรีดไถพอๆกับกลัวโจรอยู่แล้ว มีกี่คนที่ชื่นชอบและไว้ใจตำรวจ!?)
ลุงอาจจะดูเกรี้ยวกราด แข็งกร้าว แต่จริงๆภายในลุงอ่อนไหว ประนีประนอม ไม่กล้าตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ เพราะห่วงความรู้สึกคนใกล้ชิดมากเกินไป...
ลุงต้อง 'อยู่อย่างศัตรูและคู่แข่ง ยอมรับนับถือ และจากไปอย่างตำนานที่เล่าขานชื่นชม' อย่าอยู่ท่ามกลางเสียงด่าอย่างไม่สะทกสะท้านบนความทุกข์ทรมานของผู้คนไปวันๆ แล้วทั้งลุงและประเทศจะรอดจากสภาวะวิกฤติในรอบนี้ได้.