ตอน : คำแนะนำ สำหรับ "ผู้บริหารขี้โมโห และ ผู้บริหารขี้งก!"
2 ผู้บริหาร นั่งคุยกันเกี่ยวกับปัญหาของลูกน้อง (ในระหว่างรอการพบ เพื่อนที่เป็นผู้บริหารคนละองค์กรกำลังเดินทางมา)
ผู้บริหารขี้โมโห : ผมละเบื่อลูกน้องพวกนี้จริงๆ ทำงานก็ไม่ได้เรื่อง ผิดพลาดล่าช้า ต้องให้ผมตามแก้ทุกงาน
ผู้บริหารขี้งก : ผมก็เหมือนกัน แต่ผมแก้เผ็ดลูกน้องที่บริษัทผม ด้วยการตัดเงินพวกนี้เลย! ใครทำงานพลาดถูกตัดเงิน ส่วนใคร ทำงานดีถือว่าเสมอตัว ส่วนโบนัสจะให้ก็ต่อเมื่อบริษัทต้องได้ทั้งยอดขาย และกำไรเกินเป้า ถ้าได้ยอดขายตามเป้าแต่กำไรน้อยกว่าที่คิด ก็ไม่มีโบนัส!
เมื่อผู้บริหารที่ได้รับการยอมรับในความเป็นผู้นำมาถึง หลังจากทักทายพูดคุยตามประสาเพื่อนแล้ว ก็ได้เวลาที่จะช่วยให้คำแนะนำกับ ผู้บริหารขี้โมโห กับ ผู้นำขี้งก..
ผู้นำ : "ฟังเรื่องที่พวกคุณเล่าแล้ว ผมพอจะเข้าใจนะ..แต่ไม่ได้แค่เข้าใจคุณทั้งสองคน ผมกลับเข้าใจ"ความรู้สึก"คนที่เป็นลูกน้องของพวกคุณมากกว่า!"
ผู้นำ : "ถ้าคุณเอาแต่ฉุนเฉียว ดุด่าลูกน้องทุกครั้งที่ลูกน้องคุณทำงานผิดพลาด นอกจากจะไม่ช่วยให้ลูกน้องคุณพัฒนาแล้ว ยังทำให้ลูกน้องของคุณรู้สึกเครียดตลอดเวลา ทำอะไรก็ไม่ได้ดังใจคุณ..ทำไมคุณไม่ลองเปลี่ยนจาก"ดุด่า โวยวาย"เป็น"ใช้เวลาสอนและชี้แนะคนของคุณ" เพราะนี่เป็นโอกาสที่ดี ที่จะช่วยพัฒนาคนของคุณจากงานที่ทำ แต่ถ้าคุณเอาแต่ฉุนเฉียว ดุด่าเท่ากับคุณเสียทั้งโอกาสสร้างคน และ ทำให้คนของคุณเสียความรู้สึกทุกครั้งที่ได้เจอคุณ..
หลังจากปล่อยให้คิดสักครู่ ผู้นำ ก็ให้คำชี้แนะ กับ ผู้บริหารขี้โมโห ต่อ..
ผู้นำ : ผู้บริหารที่เก่งๆ ส่วนมากก็จะคล้ายกับคุณ ที่ คิดเร็ว ทำเร็ว ใจร้อน ฉุนเฉียวง่ายเมื่อมีอะไรไม่ได้ดังใจ...แต่ผู้บริหารที่เก่งจริงๆ จะรู้ว่า มันมีความแตกต่างระหว่าง คิดเร็ว ทำเร็ว กับ คิดจะพูดอะไรก็พูดแบบไม่คิด! เพราะการพูดด้วยอารมณ์โดยไม่คิด เป็นทักษะชั้นยอดในการทำลายลูกน้อง...และการนั่งบ่นนั่งด่าลูกน้องของตัวเองให้ทุกคนฟัง มันก็เป็นการนั่งด่าตัวเองให้คนอื่นฟัง เพราะถ้าเราไม่สอนลูกน้องเรา จะให้ใครสอน?"
ผู้นำ : หันมาพูดกับ ผู้บริหารขี้งก ที่นั่งฟังมาครู่นึงแล้ว....ผู้นำเริ่มต้นด้วยคำถาม กับ ผู้บริหารขี้งก
ผู้นำ : "การที่คุณหักเงินเดือน หรือตัดผลประโยชน์ทุกอย่าง เท่าที่คุณจะทำได้จากลูกน้องคุณ. คุณคิดว่ามันจะช่วยให้บริษัทของคุณ รวยขึ้นมั๊ย?" ผู้บริหารขี้งก ฟังแล้วก็รีบครุ่นคิดเรื่องของตัวเลขทันที ด้วยความเคยชิน! ผู้นำถามต่อว่า "ไม่ว่าสิ่งที่คุณพยายามตัด พยายามหักผลประโยชน์ จากลูกน้องของคุณจะมาก หรือน้อยก็ตาม มันอาจจะไม่มากพอที่จะทำให้บริษัทคุณรวยขึ้น...แต่มันมากเกินกว่าที่คุณจะคิดในความคิดของลูกน้องคุณ และมันทำให้ลูกน้องของคุณ ซึ่งแทบทั้งหมดไม่ใช่คนรวย ต้องจนลงทุกเดือน!(ถ้ารวยคงไม่มาทนนั่งเป็นลูกน้องให้คุณเอาเปรียบได้ทุกวันแน่!). ผู้บริหารขี้งกฟังแล้วอดสะดุ้งไม่ได้ว่า นี่กำลังได้รับการชี้แนะหรือโดนเพื่อนด่าไปด้วยสอนไปด้วยกันแน่!
ผมจะแนะนำเพิ่มเติมเป็นข้อคิดให้คุณไปลองคิด หรือถ้าลองทำได้ ก็ยิ่งจะเป็นผลดีกับคุณ...
1.การที่ลูกน้องของคุณเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น เคยถูกหลอมมาแบบนี้จากที่บ้าน สถานศึกษา หรือที่ทำงานเดิม หรือแม้แต่วัฒนธรรมของหน่วยงานและองค์กรของคุณเองที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้ แต่สิ่งที่คุณทั้งสองคนควรทำก็คือ "ไม่ปล่อยให้พวกเขายังคงเป็นแบบนี้"เพราะมันจะส่งผลเสียกับทุกคนรวมทั้งคุณทั้งสองคนด้วย!
2.และการที่จะเปลี่ยนแปลง วิธีคิด-วิธีปฏิบัติของลูกน้อง ที่เห็นผลเร็วที่สุด...ไม่ใช่เริ่มต้นเปลี่ยนที่ลูกน้อง! แต่คุณทั้งสองคนต้อง "เปลี่ยนวิธีคิด"ที่คุณมองลูกน้องคุณ! เพราะคุณคิดกับคนของคุณแบบใด คุณก็จะได้คนแบบนั้น! เช่นถ้าคุณมองว่าลูกน้องคุณโง่ คุณจะปฏิบัติกับลูกน้องคุณแบบโง่ๆ สุดท้ายก็โง่ทั้งลูกน้องและตัวคุณเอง! ส่วนคุณมองว่าลูกน้องคุณเขี้ยว คิดแต่จะเอาผลประโยชน์ คิดแต่จะเอาเปรียบบริษัท คุณก็จะกลายเป็นผู้บริหารที่คิดแต่จะเอาเปรียบลูกน้องคุณตลอดเวลา แล้วลูกน้องคนไหนทุ่มเทให้กับคนที่คิดแต่จะเอาเปรียบ?
3.เมื่อคุณลองเปลี่ยน วิธีคิดเกี่ยวกับลูกน้องคุณได้แล้ว คุณก็จะเริ่มเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติ และวิธีการบริหารของคุณเกี่ยวกับลูกน้องคุณได้ คุณจะมีสติ มากขึ้น เมื่อลูกน้องทำงานพลาดหรือไม่ได้ดังใจ คุณจะเริ่มมองเห็นโอกาสในการพัฒนาลูกน้องแต่ละคน ด้วยเป้าหมายเดียวกันแต่ใช้วิธีการที่แตกต่างกัน! เช่นใช้จุดแข็งของลูกน้อง ไม่ใช่ไปมุ่งเน้นโจมตีจุดอ่อนของลูกน้องคุณเอง! ส่วนคุณที่เคยงก ก็อาจจะใจกว้างขึ้น ไม่คิดที่จะเอาเปรียบหรือคิดเบียดเบียนผลประโยชน์ลูกน้องคุณ ถ้าคุณใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขามากขึ้น ให้พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาสมควรจะได้รับ แล้วลูกน้องของคุณก็จะให้สิ่งที่คุณต้องการในรูปของผลงานและความทุ่มเท!
สรุปแล้ว....แค่คุณเริ่มเปลี่ยนที่ตัวคุณ (เปลี่ยนไปในทางที่ดีนะ) คุณก็จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทีมงานของคุณไปในทางที่ดี แล้วคุณก็ค่อยต่อยอดไปแก้ไข ไปพัฒนา ยกระดับทีมงานของคุณเป็นรายบุคคล
จริงๆแล้ว แค่คุณเข้าใจว่า "คุณคิดและปฏิบัติกับคนของคุณแบบใด คุณก็จะได้คนแบบนั้น!" ปัญหาเรื่องคนก็จะลดลงไปจนแทบไม่มีแล้ว...เพราะที่เหลือ เป็นเรื่องของการ บ่มเพาะ หล่อหลอม และพัฒนา!?
โดย : อ.ธีรพล แซ่ตั้ง